body { overflow: hidden; }
itemtype='https://schema.org/Blog' itemscope='itemscope' class="post-template-default single single-post postid-318 single-format-standard ast-desktop ast-separate-container ast-right-sidebar astra-4.6.15 ast-blog-single-style-1 ast-single-post ast-inherit-site-logo-transparent ast-hfb-header ast-normal-title-enabled elementor-default elementor-kit-5">

ประวัติความเป็นมาของ ‘ตลาดซื้อขายนักเตะ’

ตลาดซื้อขายนักเตะเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สำคัญของวงการฟุตบอล ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเสริมทัพทีมให้แข็งแกร่ง และยังเกี่ยวข้องกับการค้ากำไรจากค่าตัวของนักเตะที่มักเรียกว่า “ค้าแข้ง” ที่เป็นภาษาพูดของกลุ่มคนรักฟุตบอลในประเทศไทย

ในประวัติศาสตร์ต้นๆของวงการฟุตบอลในประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดและพัฒนาวงการฟุตบอลในระดับโลก การซื้อขายนักเตะยังไม่คุ้นหูเท่าที่เป็นในปัจจุบัน ในสมัยนั้น นักฟุตบอลไม่สามารถย้ายไปเล่นให้กับทีมอื่นได้อย่างอิสระ ตัวอย่างเช่น นักเตะที่ลงเล่นให้กับทีมหนึ่งในวันนี้ อาจไปเล่นให้กับทีมอื่นในอีกสัปดาห์หรือเวลาใดก็ได้ เป็นต้น

แต่ในปี 1885 เกิดขึ้นเหตุการณ์ที่เรียกว่า “ระบบลงทะเบียนนักเตะ” ซึ่งเป็นการลงทะเบียนผู้เล่นในตลาดซื้อขายนักเตะ นับเป็นการควบคุมและส่งเสริมให้การแข่งขันมีความเป็นมืออาชีพมากขึ้น ผู้เล่นต้องลงทะเบียนกับทีมเพียงทีมเดียวในแต่ละฤดูกาลเท่านั้น ระบบนี้มีประโยชน์ในการควบคุมการเคลื่อนไหวของนักเตะและให้สโมสรมีความมั่นคง เพราะนักเตะจะไม่สามารถย้ายไปอยู่กับสโมสรอื่นได้ในช่วงเวลาที่ไม่ใช่ฤดูกาล แต่ในทางกลับกัน การลงทะเบียนใหม่ในแต่ละฤดูกาลก็ทำให้ผู้เล่นสามารถย้ายสโมสรได้อย่างอิสระ โดยไม่ต้องติดข้อจำกัดใดๆ

อย่างไรก็ตาม ระบบลงทะเบียนนี้ก็ยังมีข้อจำกัดบางประการ ถึงแม้ว่าผู้เล่นจะลงทะเบียนกับสโมสรไว้แล้วก็ตาม แต่ลิขสิทธิ์ของผู้เล่นก็มีอายุเพียงแค่ฤดูกาลเท่านั้น ดังนั้นทุกอย่างจะเริ่มต้นใหม่เมื่อฤดูกาลจบลง นักเตะสามารถย้ายไปอยู่กับสโมสรใดก็ได้อย่างอิสระ โดยเพียงแค่ลงทะเบียนใหม่ก่อนเปิดฤดูกาลถัดไป

ระบบดังกล่าวมีช่องโหว่ที่สามารถนำมาใช้เพื่อกำไรได้ หากสโมสรต้องการเก็บผู้เล่นไว้ พวกเขาจะต้องเสนอสัญญาใหม่ด้วยค่าแรงที่สูงขึ้น เพียงแค่ผู้เล่นปฏิเสธก็สามารถย้ายไปเล่นให้กับสโมสรอื่นได้อย่างสบายๆ โดยไม่ต้องมีเงื่อนไขใดๆ

เมื่อเงินมีบทบาทสำคัญ สโมสรที่ร่ำรวยก็สามารถซื้อตัวนักเตะฝีเท้าดีจากทีมเล็กๆ โดยการใช้ค่าแรงที่สูงขึ้นเป็นเครื่องมือในการจูงใจ ทำให้การแข่งขันในลีกขาดความสมดุล เนื่องจากนักเตะที่มีคุณภาพดีจะไปเล่นในสโมสรใหญ่ และทำให้การแข่งขันในลีกสิ้นสุดลง

เพื่อป้องกันความไม่สมดุลในตลาดซื้อขายนักเตะและป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น สมาคมฟุตบอลอังกฤษได้นำเสนอระบบใหม่ที่ชื่อว่า “รีเทนและทรานส์เฟอร์” ซึ่งเริ่มใช้ในฤดูกาล 1893-94 ระบบนี้ทำให้นักเตะที่ลงทะเบียนกับสโมสรใดไปแล้วจะไม่สามารถลงทะเบียนกับสโมสรอื่นได้อีก ถ้าหากไม่ได้รับอนุญาตจากสโมสรที่ลงทะเบียนไว้ในฤดูกาลแรก และถึงแม้ว่าฤดูกาลจะจบลงแล้วก็ตาม นักเตะยังคงไม่สามารถย้ายสโมสรได้

ระบบใหม่นี้เหมือนจะมีประโยชน์ในการควบคุมการเคลื่อนไหวของนักเตะและสร้างความมั่นคงให้กับสโมสร แต่ก็ยังมีข้อจำกัดบางประการ หากนักเตะไม่ต่อสัญญากับสโมสรตัวเอง จะไม่มีสิทธิ์ย้ายสโมสร และหากสโมสรไม่อนุญาตให้นักเตะย้ายและไม่ต่อสัญญาเพิ่ม สโมสรก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องจ่ายเงินเดือนให้กับนักเตะ ส่วนนักเตะเองก็ไม่สามารถลงเล่นให้กับทีมอื่นได้เลย

วิธีที่นักเตะจะสามารถย้ายสโมสรได้คือ การให้สโมสรที่สนใจยื่นข้อเสนอในการจ่ายเงินเพื่อซื้อคืนสิทธิ์ลงทะเบียนของนักเตะ แล้วนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นของการจ่ายเงินเพื่อซื้อขายนักเตะ ตัวอย่างเช่น ในปี 1983 นักเตะจอห์น เรย์โนลด์และวิลลี โกรฟส์ย้ายจากเวสต์บรอมวิช อัลบิอันไปแอสตันวิลล่าโดยใช้ค่าตัว 50 และ 100 ปอนด์ ซึ่งเป็นการย้ายสโมสรแบบมีค่าตัวครั้งแรกในประวัติศาสตร์ลูกหนัง

ด้วยการดำเนินการและการพัฒนาตลาดซื้อขายนักเตะในปัจจุบัน มีการควบคุมและกำกับดูแลเพิ่มมากขึ้น เพื่อป้องกันการก่อกวนและความไม่สมดุลในการซื้อขายนักเตะ ทั้งนี้เพื่อให้วงการฟุตบอลเป็นอันดับแรกในการพิจารณาและเสนอชื่อเข้าร่วมการแข่งขันในระดับสูง ในทางกลับกัน นักเตะก็มีโอกาสที่จะเล่นในทีมที่ตนเองต้องการในการพัฒนาทักษะและชีวิตส่วนตัว

การปฏิวัติวงการตลาดการซื้อขายนักเตะ

ระบบ “รีเทน แอนด์ ทรานสเฟอร์” มีบทบาทสำคัญในการปฏิวัติวงการตลาดการซื้อขายนักเตะ ระบบนี้เป็นระบบที่ให้ประโยชน์แก่สโมสรฟุตบอลทั่วโลก โดยไม่ต้องกังวลเรื่องการสูญเสียนักเตะในการโอนย้ายหลังจบฤดูกาล ระบบนี้มีส่วนสำคัญในการทำให้ลีกอังกฤษเติบโตพร้อมกันโดยไม่มีสโมสรใดที่เป็นผูกขาดความสำเร็จ

แต่จากมุมมองของผู้เล่นนักเตะ ระบบดังกล่าวอาจจะมีผลกระทบต่อความเสรีภาพของพวกเขามากกว่า เนื่องจากระบบนี้อาจจะผูกขามพวกเขาไว้มากขึ้น นอกจากนี้ สมาคมฟุตบอลก็ได้ใช้กฎเพดานค่าเหนื่อยเพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงินของสโมสร ทำให้นักเตะต้องได้รับค่าตัวที่น้อยลง และไร้อำนาจในการต่อรอง

เมื่อการเล่นในประเทศทำให้พวกเขาได้รับค่าเหนื่อยที่น้อยนิด ไม่แปลกเมื่อช่วงปี 1960 นักเตะชื่อดังอย่าง จอห์น ชาร์ลส์ และ จิมมี่ กรีฟส์ จึงตัดสินใจย้ายไปค้าแข้งในต่างแดนกับ ยูเวนตุส และ เอซี มิลาน

จุดเริ่มต้นของการปฏิวัติเกิดขึ้นในปี 1959 เมื่อ จอร์จ อีสต์แฮม ทำผลงานที่ยอดเยี่ยมให้กับ นิวคาสเซิล โดยทำไป 18 ประตูในการลงแข่ง 42 นัด ทำให้สโมสรพยายามต่อสัญญาที่กำลังจะหมดลงกับเขา แต่เขาปฏิเสธและขอขึ้นบัญชีซื้อขายนักเตะ แต่สโมสรก็ไม่ยอมเช่นกัน สโมสรไม่อนุญาตให้อีสต์แฮมย้ายไปที่อื่น ไม่ยอมคืนสิทธิ์การลงทะเบียน ไม่ขายนักเตะให้ใคร และไม่จ่ายเงินเดือนให้เขาอีกด้วย นักเตะเองตอบโต้ด้วยการไม่ยอมลงแข่งให้กับนิวคาสเซิลตลอดทั้งฤดูกาล 1960-61 และได้เดินทางไปทำงานขายจุกไม๊ก๊อกกับครอบครัวเพื่อนเพื่อประทังชีวิต

การประท้วงของเขาได้เริ่มเห็นผลในเดือนตุลาคมปี 1961 หรือเกือบหนึ่งปีต่อมา เมื่อนิวคาสเซิลยอมขายอีสต์แฮมให้อาร์เซนอลด้วยค่าตัว 47,000 ปอนด์ แต่เอกลักษณ์ตัวเองรู้สึกว่ามันยังไม่คุ้มค่ากับเวลาที่สูญเสียไป จึงตัดสินใจยื่นฟ้องดำเนินคดีกับสโมสรที่สูงสุด โดยสมาคมนักฟุตบอลอาชีพอังกฤษเป็นผู้ช่วยเรื่องค่าใช้จ่ายทั้งหมด

คดีถูกตัดสินในระยะเวลาสองปี โดยศาลเห็นว่าระบบ “รีเทน” ไม่สมเหตุสมผล ถึงแม้ว่าศาลจะไม่สั่งให้นิวคาสเซิลชดใช้ค่าเหนื่อยให้แก่อีสต์แฮมตามที่ถูกประท้วงขอ เนื่องจากไม่มีการลงเล่นให้กับสโมสร แต่ก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ระบบนี้หายไป ซึ่งในระหว่างดำเนินคดีฟ้องร้อง กระทรวงแรงงานของอังกฤษก็ได้ยกเลิกระบบเพดานค่าเหนื่อย เนื่องจากถูกกดดันจากสมาคมนักฟุตบอลอาชีพอังกฤษที่ขู่ว่าจะประท้วงด้วยการไม่ลงเล่น

หลังจากเกิดการล่มสลายของระบบสัญญาทาสนี้ ตลาดซื้อขายนักเตะเริ่มคึกคักมากขึ้น แต่ยังคงมีข้อผูกมัดอยู่ไม่น้อย แม้แต่นักเตะที่หมดสัญญากับสโมสรไปแล้วก็ตาม

ในปี 1990 ฌอง มาร์ค บอสแมน นักเตะสัญชาติเบลเยียม ในวัย 25 ปี กำลังประสบปัญหาเช่นเดียวกัน โดยเขากำลังจะหมดสัญญากับอาร์เอฟซี ลีแอช สโมสรในลีกเบลเยียม โดยตลอดสองปีในสัญญา เขาได้ลงเล่นไปเพียง 3 นัดเท่านั้น จึงต้องวางแผนหาสโมสรใหม่ที่จะทำให้เขามีโอกาสลงแข่งมากกว่านี้

ทำให้ดันเคิร์ก สโมสรลีกรองของฝรั่งเศส ยื่นข้อเสนอเข้ามา แต่สโมสรก็ไม่ยินยอมถึงแม้ว่าเขากำลังจะหมดสัญญาก็ตาม แถมยังเรียกเงินจากดันเคิร์ก 500,000 ปอนด์ จากการย้ายทีมในครั้งนี้ด้วย

ดีลดังกล่าวก็ล่มลง เมื่อดันเคิร์กไม่ยอมรับข้อเรียกร้อง ส่งผลให้บอสแมนถูกแบนจากลีแอช แถมลดค่าเหนื่อยลง 75% เหลือเพียง 500 ปอนด์ต่อเดือน และถูกผูกมัดไว้กับสโมสรในฐานะพนักงานคนหนึ่ง ถึงแม้ว่าหลังจากนั้นเขาจะได้ย้ายทีมตามต้องการ แต่ก็เป็นเพียงสโมสรในลีกระดับมือสมัครเล่นเท่านั้น

ถึงแม้จะเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่สโมสรมีสิทธิ์ในตัวนักเตะ ไม่ว่าจะหมดสัญญาหรือไม่ก็ตาม แต่บอสแมนรู้สึกว่าไม่เป็นธรรม ทำให้เขายื่นฟ้องดำเนินคดีทั้งกับลีแอชและยูฟ่า โดยอ้างถึงสนธิสัญญาแห่งกรุงโรมปี 1957 เรื่องสิทธิเสรีภาพในการโยกย้ายถิ่นฐานในกลุ่มสมาชิกชาติยุโรปหรือสหภาพยุโรปในยุคปัจจุบัน

หลังจากต่อสู้กันมานานกว่า 5 ปี ทำให้เขาตกอยู่ในฐานะบุคคลล้มละลายและล้มเหลวในชีวิตคู่ ในที่สุดศาลยุติธรรมแห่งยุโรปก็ได้พิพากษาให้บอสแมนเป็นผู้ชนะเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 1995 ที่ทำให้นักเตะสามารถย้ายทีมได้อย่างอิสระเมื่อหมดสัญญา และเกิดกฎใหม่ที่เรียกว่า “กฎบอสแมน” ขึ้นและมันก็ทำให้ตลาดการซื้อขายนักเตะเปลี่ยนไปทั้งโลก

ดังนั้น การปฏิวัติวงการตลาดการซื้อขายนักเตะเป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นเพื่อเสรีภาพและความยุติธรรมในการโอนย้ายนักเตะ ระบบ “รีเทน แอนด์ ทรานสเฟอร์” และกฎบอสแมนเป็นตัวกำหนดแนวทางในการดำเนินการซื้อขายนักเตะให้เป็นธรรมและเพิ่มโอกาสให้แก่นักเตะในการเล่นในทีมที่ต้องการ และนักเตะมีสิทธิ์ในการต่อรองเงื่อนไขที่ดีกว่ามากขึ้น ซึ่งเป็นการพัฒนาที่สำคัญในวงการฟุตบอลทั่วโลก

Scroll to Top